1.มีความเมตตากรุณา
การมีความเมตตากรุณาในที่นี้คือ
ความพยายามสร้างความเมตตาให้เกิดขึ้นทั้งทางกาย วาจา และทางใจ
โดยจะต้องตั้งอยู่บนความพอดี
เมื่อให้ความช่วยเหลือผู้อื่นแล้วตัวเราจะต้องไม่เดือดร้อน
อานิสงส์ของการมีความเมตตากรุณาคือ หน้าตาเปล่งปลั่ง ผ่องใส มีโชคลาภ
วาสนาและบารมี ปราศจากศัตรูและผู้ปองร้าย เทพเทวดาจะแซ่ซ้องสรรเสริญ
ไปที่ไหนมีแต่คนรักใคร่ให้ความเมตตา
สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสสอนว่า การให้ทานมีสาเหตุและก่อให้เกิดอานิสงส์ 5 ประการ
ดังนี้
1) การให้ด้วยความศรัทธา มีอานิสงส์คือ ทำให้มีผิวพรรณผ่องใส บุคลิกและหน้าตางดงาม
2) การให้ด้วยความเคารพ มีอานิสงส์คือ บุคคลรอบข้างเช่น สามี ภรรยา บุตร และลูกน้อง จะรัก เคารพ และเชื่อฟัง
3) การให้ในเวลาที่เหมาะสม มีอานิสงส์คือ โชคลาภต่าง ๆ จะบังเกิดกับเราในเวลาที่เหมาะสม
4) การให้ด้วยความเมตตาสงสาร มีอานิสงส์คือ ได้สัมผัสและพบเจอแต่สิ่งที่เจริญหูเจริญตา
5) การให้ด้วยความเต็มใจ ปราศจากการดูถูกดูแคลน หรือไม่มีการให้แบบ “ขอไปที” มีอานิสงส์คือ ทรัพย์สมบัติทั้งหลายจะคงอยู่ตลอดกาล
นอกจากอานิสงส์ดังกล่าวแล้ว “การให้” ทั้ง 5 สาเหตุยังส่งผลให้บังเกิดความมั่งคั่งร่ำรวยตามมาอีกด้วย
ความเมตตากรุณาที่มีอานิสงส์สูงสุดคือ การให้สิ่งที่ควรให้
แก่บุคคลที่ควรรับ ในเวลาที่เหมาะสมโดยไม่คำนึงว่า ใครเป็นผู้ให้
และใครเป็นผู้รับ การให้จะต้องไม่มีเงื่อนไขและไม่มีการเลือกปฏิบัติ
และไม่ควรจำกัดขอบเขตอยู่ในกลุ่มญาติพี่น้องหรือเพื่อนฝูง
หรือกลุ่มคนที่เรารู้จัก นอกจากนั้น การให้ในที่นี้
มิได้หมายถึงการให้วัตถุสิ่งของเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการให้ความรู้
ให้รอยยิ้ม น้ำใจ กำลังใจ หรือความช่วยเหลืออีกด้วย
และสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ เมื่อให้แล้ว ให้หันหลัง
และลืมสิ่งเหล่านั้นไปเสีย ไม่ต้องภูมิใจในความดีของตน
ไม่ต้องรอคอยให้อีกฝ่ายรู้ซึ้งถึงบุญคุณของเรา
และไม่ต้องตั้งตาคอยว่าเมื่อไรผลบุญดังกล่าวจะบังเกิดผล
เพราะการให้เช่นนี้ถือว่าเป็นการให้ที่หวังผลตอบแทน
นอกจากจะไม่เกิดผลบุญแล้วอาจจะเป็นการเพิ่มตัวกูของกูในจิตใจ
ซึ่งเรียกว่าเป็นการเมตตากรุณาที่ผิดวิธี
2.พึง
ตระหนักเสมอว่า สรรพสิ่งในโลกนี้ ล้วนเป็นเพียงโลกสมมติ
อย่าไปยึดมั่นถือมั่นอะไรมากนัก แต่เราจะพยายามทำสิ่งต่าง ๆ
ให้ดีที่สุดในแต่ละวัน และพยามยามแบ่งปันช่วยเหลือผู้ที่อ่อนแอกว่า
ในที่นี้คือ
การที่เราสามารถอาศัยอยู่บนโลกและทำหน้าที่ตามที่โลกสมมติกำหนดมาได้อย่างดี
ที่สุด โดยที่จิตใจจะต้องไม่เป็นทุกข์ เศร้าหมอง หรือไม่รุ่มร้อน
ไปกับความโกรธเกลียดอาฆาตแค้น ความทะยานอยาก ความโลภโมโทสัน
ความเบื่อหน่ายเซ็งชีวิต ความเคร่งเครียดเป็นกังวล ความฟุ้งซ่านสับสน
และความลังเลสงสัยไม่แน่ใจในชีวิต
3.ทำใจให้โล่งโปร่งสบายในทุกสภาวะ
พยายามทำจิตใจให้ผ่องใสเยือกเย็นดั่งน้ำในลำธาร จิตใจจะต้องสงบและผ่องใส
ความสงบเกิดจากการที่จิตมีสมาธิ ไม่ฟุ้งซ่าน และความผ่องใสมาจากปัญญา
ซึ่งในที่นี้หมายถึง การเตรียมจิตใจให้รับได้ในทุกสภาวะได้แก่
ความสมหวังและความผิดหวัง ความสุขและความทุกข์ คำสรรเสริญและคำนินทา
การได้รับและการสูญเสีย เป็นต้น
4.หายใจลึก ๆ อย่างสม่ำเสมอ
ความทุกข์ของมนุษย์มีสาเหตุมาจากความคิดที่เป็นอกุศล ฉะนั้น
ถ้าอยากมีความสุขก็ต้องหยุดความคิด แต่การจะหยุดความคิดได้
จิตต้องมีกำลังในระดับหนึ่งก่อน การสร้างจิตให้มีพลังทำได้โดยการหายใจลึก ๆ
และจดจ่ออยู่กับลมหายใจเข้าออก หรือเรียกว่าอานาปาณสติ
ซึ่งเป็นกรรมฐานเพียงกองเดียวที่จะป้องกันความฟุ้งซ่านได้ ในทางกลับกัน
เมื่อเราหยุดความคิดอันเป็นอกุศลได้แล้ว
ก็ให้เพียรพยายามคิดแต่สิ่งที่ดีและมีประโยชน์
และไม่หวนกลับไปคิดสิ่งที่เป็นอกุศลอีก
จึ่งจะเป็นการหยุดความทุกข์และสร้างความสุขอย่างแท้จริง
5.พูด
จาให้สุภาพ นุ่มนวล ชัดถ้อยชัดคำ ได้จังหวะจะโคน น่าชวนฟัง
พูดแต่สิ่งที่เป็นประโยชน์ทั้งต่อตนเองและผู้อื่น ฟังแล้วสบายใจ มีความหวัง
และมีกำลังใจ
เวลาพูดให้มีสติ ค่อย ๆ พูด และให้ระมัดระวังน้ำเสียง
เพราะน้ำเสียงสามารถสะท้อนสภาวะจิตใจของผู้พูดออกมาได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
ในตอนที่เราจะต้องพูดกับคนที่เราไม่ชอบหน้า
หรือคนที่เคยทะเลาะเบาะแว้งกันมาก่อน
และจำเป็นจะต้องพบปะเจอะเจอกันอยู่เป็นประจำ
เจอกันเมื่อไรเป็นต้องได้มีการปะทะคารมกันอยู่ร่ำไป
จิตใจรุ่มร้อนไปด้วยความโกรธแค้นและขุ่นเคือง หาความสุขมิได้ ฉะนั้น
วิธีนี้จะเป็นวิธีที่จะช่วยป้องกันการทะเลาะเบาะแว้งได้เป็นอย่างดี
เพราะในขณะที่เราพยายามพูดจาให้ดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
จิตใจของเราจะจดจ่อกับคำพูดและน้ำเสียง
จนทำให้ลืมเรื่องที่บาดหมางในอดีตไปได้ในชั่วเวลาหนึ่ง
เมื่ออีกฝ่ายได้สัมผัสถึงกิริยาที่เป็นมิตรจากเรา เขาจะรู้สึกประหลาดใจ
และจะหันมาสนใจฟังในสิ่งที่เราพูด
6.ฝึกความรู้สึกทั่วทั้งสรรพางค์กายและความรู้เนื้อรู้ตัวในทุก ๆ อิริยาบถ
ฝึกความรู้เนื้อรู้ตัวให้ละเอียดและต่อเนื่องให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็น
ไปได้
เพราะการเอาจิตใจไปจดจ่ออยู่ที่การเคลื่อนไหวของร่างกายจะเป็นการเปลี่ยนที่
ยึดเกาะของจิต จากเกาะที่ความคิดมาเป็นเกาะที่กายแทน
เมื่อนั้นจิตจึงจะหยุดคิดได้ จิตจึงได้พัก ความฟุ้งซ่าน ความเครียด
ความเศร้าหมองใจจะน้อยลง จิตจึงมีกำลังเพิ่มขึ้น มีความสงบและเบาสบายตามมา
นอกจากเอาจิตไปเกาะที่ฐานกายแล้ว
ให้หัดเคลื่อนจิตไปเกาะที่ฐานอารมณ์โดยการมองอารมณ์ของตนเองตลอดเวลาว่า
ขณะนี้เรารู้สึกอย่างไร สุข ทุกข์ หรือเฉย ๆ
เมื่อจิตใจเริ่มเกิดความทุกข์ให้พิจารณาต่อว่าทุกข์ด้วยสาเหตุใด เช่น
ความโลภโมโทสัน อยากได้สิ่งใดในเวลาที่ไม่เหมาะสม
ความอยากได้อยากมีอยากเป็น ความไม่อยากได้ไม่อยากมีไม่อยากเป็น
ความอิจฉาริษยา ความโกรธเกลียดอาฆาตแค้น ความลังเลสงสัย
ความฟุ้งซ่านรำคาญใจ และความซึมเศร้าง่วงเหงาหาวนอน เป็นต้น หลังจากนั้น
ให้พิจารณาข้อธรรมบางประการเพื่อให้จิตใจเกิดการลดลงวางตัวกูของกู เช่น
เราอยู่ในโลกนี้อย่างมากก็ไม่เกินร้อยปี
จะต่อสู้แย่งชิงให้มันทุกข์ใจกันไปทำไม
ทุกข์สมุทัยนิโรธมรรคนี่เป็นความจริงแห่งสังสาระ
หรือโลกนี้เป็นเพียงโลกสมมติจะเอาอะไรกันนักอะไรกันหนาทำใจให้มันสบายดีกว่า
เป็นต้น
7.ฝึกควบคุมความคิด
เลือกคิดแต่สิ่งที่มีประโยชน์และมีความสุข
การจะควบคุมความคิดได้จะต้องเริ่มจากการรู้จักหยุดความคิดที่ฟุ้งซ่านเสีย
ก่อน ซึ่งอาจจะทำได้ด้วยวิธีการกำหนดลมหายใจ
หรือการใช้สัจจธรรมบางประการเพื่อให้จิตใจเกิดการปล่อยวาง เช่น
การอยู่ไม่นานก็ต้องจากโลกนี้ไปแล้ว
ขณะที่มีชีวิตอยู่เราจะทำตัวให้เป็นประโยชน์แก่สังคมได้อย่างไร เป็นต้น
การระลึกถึงความตายว่า เป็นของไม่เที่ยง
จะช่วยทำลายความเป็นตัวกูของกูได้เป็นอย่างดี
และเป็นการตั้งอยู่ในความไม่ประมาท อย่างไรก็ดี การระลึกถึงความตายนั้น
ไม่เหมาะสมกับบุคคลที่เป็นโทสะจริต
เพราะจะทำให้จิตใจมีความโหดร้ายและเกรี้ยวกราดมากยิ่งขึ้น
ส่วนจริตอื่นสามารถพิจารณาถึงมรณานุสตินี้ได้หมด
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น